กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% แตะ 412.94 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเดือนที่ 3 ติดต่อกันหลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค. และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% สะท้อนว่าผู้บริโภคมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และจุดประกายความหวังว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัวได้ดีกว่าที่มีการประเมินกันไว้ ปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ยอดค้าปลีกเดือนก.ย.เพิ่มสูงขึ้นก็คือ ยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พุ่งขึ้น 4.5% เพราะได้แรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากการวางจำหน่าย iPhone 5 ในเดือนที่แล้ว ทั้งนี้ ยอดขายสินค้าประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่ iPhone 4S เปิดตัว ด้านยอดขายสินค้าในหมวดอื่นๆก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยยอดขายน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.5% ยอดขายรถยนต์และอะไหล่เพิ่ม 1.3% ยอดขายวัสดุก่อสร้างเพิ่ม 1.1% ยอดขายอาหารและเครื่องดื่มเพิ่ม 1.2% และยอดค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน (non-store) อาทิ การขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต เพิ่มขึ้น 1.8% หากไม่รวมยอดขายน้ำมันเบนซิน ยอดค้าปลีกเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 1.0% และหากไม่รวมยอดขายยานยนต์ ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 1.1% ในเดือนที่แล้ว สำหรับยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ได้รับการปรับทบทวนเป็นเพิ่มขึ้น 1.2% จาก 0.9% ในรายงานก่อนหน้านี้ ยอดค้าปลีกถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของระบบเศรษฐกิจ ตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่า แม้สภาพเศรษฐกิจและการเมืองมีความไม่แน่นอน แต่ทัศนคติของผู้บริโภคกลับสดใสขึ้น โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้มีการเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนต.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับตัวสูงขึ้นเกินคาดสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2550 ที่ 83.1 จุด จากระดับ 78.3 จุดในเดือนก่อนหน้า โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนส.ค.